ความรู้ทั่วไปการขับขี่
1 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการขับขี่
หมวกกันน๊อค
- ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายต้องสวมใส่หมวกกันน๊อคในขณะขับขี่ทุกครั้ง และหมวกกันน๊อคต้องมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจาก มอก.
- การสวมใส่หมวกกันน๊อคทุกครั้ง ต้องใส่สายรัดคางให้แน่นกระชับพอดี ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป โดยปกติ
- สามารถใช้นิ้วชี้สอดเข้าไปใต้คางได้พอดี
แว่นตากันลม
- ผู้ขับขี่ควรที่จะสวมใส่แว่นกันลม เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละออง,เศษหิน,ทราย,ตัวแมลง หรือน้ำฝนกระเด็นเข้าตาในขณะขับขี่
เสื้อแจ็กเก็ตและกางเกง
- ควรสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่มีสีสันสว่างสดใส เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล
- กางเกงควรเป็นกางเกงที่มีเนื้อผ้าที่หนา เช่น กางเกงยีนส์ ที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป
ถุงมือ
- ผู้ขับขี่ใส่ถุงมือสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อให้กระชับในขณะขับขี่และป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่มือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
รองเท้า
- ควรสวมใส่รองเท้าบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้นทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย ไม่ควรสวมรองเท้าแตะในการขับขี่รถเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงบริเวณเท้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
2. การใช้ขาตั้งข้างและการจูงรถจักรยานยนต์
2.1 วิธีการเก็บและใช้ขาตั้งกลาง
ก.การเก็บขาตั้งกลาง
- ใช้มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์รถ อย่าให้หน้ารถหันไปด้านซ้ายหรือขวา
- 2. ดันรถให้ไปข้างหน้าด้วยแขนทั้งสองข้างพร้อมกับใช้สะโพกด้านข้างดันรถไว้เพื่อมิให้ล้ม
- ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวจากขาตั้งกลางให้ใช้มือขวาค่อยๆ บีบเบรกหน้าเพื่อช่วยป้องกันมิให้รถลื่นไถลไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ข.ใช้ขาตั้งกลาง
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์รถ มือขวาจับใต้เบาะด้านหลังรถ
- รักษาตำแหน่งหน้ารถให้แฮนด์ตั้งตรงอยู่เสมอไม่หันไปทางซ้ายหรือขวา
- เท้าขวาเหยียบลงบนคานของขาตั้งกลาง ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนคานตั้งทั้งตัว พร้อมกับใช้มือขวาที่จับอยู่ด้านหลังรถยกขึ้นในจังหวะเดียวกัน
ข้อควรระวังในการจอดรถโดยใช้ขาตั้ง
- ควรเลือกพื้นถนนที่ราบเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ และแข็งพอที่จะไม่ทำให้รถล้มลงได้
- การใช้ขาตั้งกลางขณะที่รถเอียงหรือตั้งหน้ารถไม่ตรง จะต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ
วิธีใช้และเก็บขาตั้งข้าง
- เลือกพื้นถนนที่แข็งเพื่อมิให้พื้นเกิดการยุบตัว
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์มือขวาจับที่มือจับด้านหลังหรือจะใช้มือทั้งสองข้างจับยึดที่แฮนด์ด้านหน้าอย่างเดียวก็ได้ รักษาตำแหน่งรถให้ตั้งตรงใช้เท้าขวาถีบขาตั้งข้างลงมาจนสุด
- ค่อยๆ เอียงรถช้าๆ จนกว่าขาตั้งข้างจะสัมผัสกับพื้นถนน จับแฮนด์รถหันไปทางซ้ายในตำแหน่งล๊อคคอรถ
- ใส่เกียร์รถไปที่ตำแหน่งเกียร์1 เพื่อป้องกันรถลื่นไถล
- ยกรถขึ้นจนกระทั่งปลายขาตั้งข้างพ้นจากพื้นถนน ตำแหน่งรถตั้งตรง
- ใช้ปลายเท้าขวาเตะขาตั้งข้างขึ้นเก็บเข้าที่เดิม
2.2 การจูงรถ
ก. การจูงรถไปด้านหน้า
- ใช้มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์มือขวาพร้อมที่จะใช้เบรคหน้าได้ตลอดเวลาเมื่อจำเป็น
- รักษาตำแหน่งรถให้ตั้งตรง
- ใช้ลำตัวแนบเข้ากับตัวรถดันมิให้ล้ม พร้อมกับออกแรงดันรถไปด้านหน้า
ข.การจูงรถรูปเลข 8
- เมื่อต้องการจูงรถไปด้านซ้ายให้หันแฮนด์รถไปทางซ้าย เอียงรถเข้าหาลำตัวเล็กน้อย
- เมื่อต้องการจูงรถไปด้านขวาให้หันแฮนด์รถไปทางขวาพร้อมกับใช้สะโพกดันรถไว้อยู่ตลอดเวลา
ค.การจูงรถถอยหลัง
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์ มือขวาจับที่มือจับด้านหลัง
- ค่อยๆ ดันรถไปทางด้านหลังช้าๆ ระวังอย่าให้หน้ารถส่ายไปมา
2.3 วิธีการยกรถเมื่อล้ม
กรณีรถล้มลงทางด้านซ้ายมือ
- จับแฮนด์รถไปทางด้านขวา จนกระทั่งสุดในตำแหน่งล๊อคคอ
- ใช้มือทั้งสองชข้างจับที่แฮนด์ทั้งสองข้าง มือขวาบีบคันเบรคหน้าเอาไว้
- ค่อยๆ ยกรถขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้เข่าและสะโพกแนบกับตัวรถ ค่อยๆ ดันรถขึ้นช้าๆ ในจังหวะเดียวกัน จนกว่ารถจะตั้งตรง
- ใช้เท้าขวาเขี่ยขาตั้งข้างลง ค่อย ๆ เอียงรถจนกระทั่งปลายขาตั้งสัมผัสกับพื้นถนนอย่างมั่นคง
กรณีรถล้มทางด้านขวา
- ให้เดินอ้อมไปทางด้านที่รถล้มแล้วเอาขาตั้งข้างกางออกให้สุด
- จับแฮนด์รถหันไปด้านซ้ายและใช้วิธีการยกรถเช่นเดียวกันกับกรณีรถล้มทางด้านซ้ายมือ จนกว่าขาตั้งจะสัมผัสกับพื้นถนน
3. การตรวจเช็คก่อนการขับขี่
ควรสำรวจตัวรถและตรวจเช็คระบบที่สำคัญต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ
และเพื่อความปลอยภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนอื่นๆ
ก. น้ำมันเชื้อเพลิง
- การขับขี่ทุกครั้งต้องแน่ใจว่า มีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงพออยู่เสมอ
ข.น้ำมันหล่อลื่น
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันหล่อลื่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่น้ำมันเครื่องสกปรก
ค.ยาง
- ควรตรวจเช็คแรงดันลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป
- ควรตรวจเช็คสภาพและการสึกหรอของยางอย่างสม่ำเสมอ
4. ท่าทางการขับขี่
ก. การขึ้นรถ - ลงรถ
- อย่าหันหรือหมุนแฮนด์รถไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
- ควรเอียงรถเข้าหาตัวผู้ขับขี่เล็กน้อย
- ควรวางเท้าซ้ายของท่านให้มั่นคงลงบนพื้นถนน
ข. ตำแหน่งการนั่งขับขี่
- คล่องตัวในการควบคุมรถ
- มีการทรงตัวที่ดี
- ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดี
- ไม่เมื่อยล้าในขณะขับขี่ (ไม่ควรนั่งชิดด้านหน้าหรือหลังมากเกินไป)
- ตามองตรงไปข้างหน้าไม่ก้มหรือเงย
- วางไหล่ให้สบายๆ ไม่ยกหรือเกร็งจนเกินไป
- ปล่อยแขนตามธรรมชาติไม่กางออก
- จับแฮนด์ทั้งสองให้มืออยู่ระหว่างกึ่งกลางของมือจับพอดี และให้กระชับ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป
- นั่งขับขี่รถในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการควบคุม
- วางเท้าทั้งสองลงบนที่พักเท้า ให้ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า โดยที่ปลายเท้าขวา แตะเบาๆ อยู่คันเบรคหลัง และปลายเท้าซ้ายวางไว้ที่คันเปลี่ยนเกียร์ (อย่าสอดปลายเท้าทั้งสองไว้ด้านล่างคันเปลี่ยนเกียร์ และคันเบรคหลัง)
- หัวเข่าเหยียดตรงไปข้างหน้า บีบกระชับให้พอดีๆ กับถังน้ำมัน (อย่ากางเข่าออกมาด้านซ้ายโดยเด็ดขาด)
5. การออกรถ, การหยุดรถ
ก. การออกรถี่
- มองดูรถคันอื่นและผู้เดินถนนในกระจกมองหลัง
- ใช้เท้าขวาวางบนพื้นถนนเพื่อพยุงรถไม่ให้ล้ม
- หลังจากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ ตามขั้นตอนของการสตาร์ทหน้า 21 แล้วค่อยๆ บีบคลัทช์มาด้านหลังช้าๆจนสุด
- เลือกใช้เกียร์หนึ่ง
- ก่อนที่จะออกรถหันมองดูด้านเหนือไหล่ขวา ว่ามีรถคันอื่นวิ่งมาหรือไม่
- เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เปิดไฟเลี้ยวขวา
- ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่เท้าซ้ายเท้าขวาวางไว้ที่คันเบรกหลัง
- บิดคันเร่งช้าๆ ให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,000 - 3,000 รอบ/นาที แล้วหยุดค้างไว้
- ค่อยๆ ปล่อยคันคลัทช์ช้าๆจนกว่ารถจะค่อยๆ เคลื่อนตัว(ในตำแหน่งนี้มือยังคงกำคันคลัชอยู่) การปล่อยคันคลัทช์ให้ทำงานเร็วเกินไปจะเป็น สาเหตุให้รถออกตัวกระตุกหรือเครื่องยนต์ดับ (ท่านอาจสังเกตโดยการฟังเสียงของเครื่อง ยนต์หรืออาการสั่นของรถได้)
- ปิดสวิทซ์ไฟเลี้ยวหลังจากที่รถ ออกตัวเรียบร้อยแล้ว
- บิดคันเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น
- ปล่อยคันคลัทช์จนสุด
ข. การหยุรถ
- ตรวจเช็คความปลอดภัย มองดูกระจกหลังด้านซ้าย เช็คความปลอดภัยจากรถคันอื่น
- ให้สัญญานไฟ เปิดสัญญานไฟเลี้ยวซ้าย
- เช็คความปลอดภัยและขับรถออกไปทางด้านซ้าย มองดูด้านหลังเหนือไหล่ซ้าย เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่มีรถหรือคนเดินถนนด้านซ้ายผ่านไปมา แล้วค่อยเลี้ยวรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้าย
- เบาคันเร่ง คืนคันเร่งจนสุดและใช้กำลังเครื่องยนต์ เป็นตัวช่วยลดความเร็ว (Engine Brake)
- เบรค บีบคันเบรคหน้าด้านขวาของแฮนด์และ ใช้เท้าขวาเหยีบที่คันเบรคหลังช้าๆ เบาๆ
- เริ่มบีบคลัทช์ ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังทำการหยุดรถ จนกระทั่งรถหยุดสนิทเปลี่ยนเกียร์ไป ที่เกียร์หนึ่ง หรือเกียร์ว่างเมื่อจอดรถ
- หยุดรถ ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังทำการหยุดรถ จนกระทั่งรถหยุดสนิทเปลี่ยนเกียร์ไป ที่เกียร์หนึ่ง หรือเกียร์ว่างเมื่อจอดรถ
ความรู้พื้นฐานการขับขี่
1. การออกรถและการเร่งเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล
- เพื่อความปลอดภัย หันมองดูรอบๆ แล้วเปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
- เลือกใช้เกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์1
- หันมองผ่านเหนือไหล่ขวาตรวจเช็คความปลอดภัยอีกครั้ง
- เริ่มออกรถไปทางขวาช้า ๆ
- เมื่อออกรถเรียบร้อยแล้ว ให้ปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
ข้อแนะนำในการออกรถ
- การออกรถต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จงระมัดระวังอย่าให้รถคันอื่นต้องหลบหรือลดความเร็วลงในขณะที่ท่านนำรถออกจากข้างทาง
- ระวัง! อย่าออกรถด้วยการเลี้ยวออกมาทางด้านขวาอย่างกระทันหัน
การออกรถอย่างรวดเร็วและการเร่งความเร็ว
- หมั่นพยายามฝึกฝนหาความชำนาญในการออกรถอย่างรวดเร็ว ด้วยการบิดคันเร่งและปล่อยคลัทช์อย่างรวดเร็วให้สัมพันธ์เวลาเดียวกัน จนกว่าจะเกิดความคล่องตัวในการใช้คลัทช์ได้อย่างดี เพราะบางครั้งการขับขี่รถบางครั้งการขับขี่รถต้องให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในช่วงเวลาการจราจรติดขัดหรือในชั่วโมงเร่งด่วน
- ฝึกการใช้คลัทช์สลับกันไปมาเพื่อช่วยในการปรับลดความเร็วในขณะขับขี่รถเข้าทางแยกหรือหักมุมถนน
2. การเปลี่ยนเกียร์
ก. วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์สูงกว่า
ข. วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ต่ำกว่า
- จากตารางด้านบนนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่า เมื่อไรควรจะเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ที่ต่ำกว่า การตัดสินใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ดังต่อไปนี้
- เมื่อลดความเร็วลง
- ขณะขับขี่รถบนทางสูงชันหรือขณะที่แซงรถคันอื่น
- ต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรกในขณะขับขี่บนถนนที่เปียกลื่นหรือขับขี่รถลงเขา
3. การเบรค
การใช้เบรคหน้าและเบรคหลังอย่างมีประสิทธิภาพ
ก. วิธัใช้เบรคหน้า
ข. วิธีใช้เบรคหลัง
ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างถูกวิธี
- คืนคันเร่งแล้วใช้เบรค (วิธีนี้จะทำให้เกิดการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค)
- ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังพร้อมๆ กัน (จะสามารถหยุดรถได้ด้วยระยะทางสั้นๆ และมีประสิทธิภาพ)
- การใช้เบรคควรใช้ในขณะที่รถอยู่ในตำแหน่งตั้งตรง
- หลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างกระทันหันหรืออย่างรุนแรง
- การใช้เบรคด้วยวิธีย้ำเบรคก่อนหยุดรถจะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรงและช่วยเตือน ให้ผู้ขับขี่ด้านหลังเพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาก เพราะขณะที่ใช้เบรคสัญญาณไฟเบรคจะปรากฏที่ด้านหลังรถทุกครั้งที่ใช้เบรค
- บนพื้นผิวถนนที่เปียก ระยะทางการหยุดรถต้องยาวกว่าพื้นถนนแห้ง จงหลีกเลี่ยงการเบรคอย่างกระทันหันและรุนแรง เพราะจะทำให้รถเสียหลักลื่นไถลหรือล้มลงได้ การใช้เบรคบนถนนที่เปียกต้องตั้งตัวรถให้ตรงอยู่เสมอหลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรง และควรขับขี่รถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติพอสมควร
4. การควบคุมความเร็ว
ก. การควบคุมความเร็วบนถนนทางตรง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัยตามความเหมาะสมของสภาพการจราจร
- อย่าเพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น
- ขับขี่รถด้วยความระมัดระวังไม่กีดขวางการจราจร
ข. การใช้คลัทช์ขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ
- เลือกใช้เกียร์ 1 หรือ 2 พร้อมกับบิดคันเร่งเล็กน้อย ควบคุมความเร็วด้วยการบีบคลัทช์ช่วยประมาณของปกติ เพื่อช่วยมิให้เครื่องยนต์ดับหรือเกิดอาการกระตุก
- พยายามควบคุมให้ตรง อย่าเสียการทรงตัว กรณีที่ขับขี่รถที่ความเร็วต่ำมากๆ เครื่องอาจจะสั่นหรือกระตุก ให้บิดคันเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับบีบคลัทช์
ค. การควบคุมความเร็วขณะเข้าโค้ง
- ลดความเร็วก่อนที่จะเข้าโค้ง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัยให้คงที่ขณะเข้าโค้ง
- ค่อยๆ เพิ่มความเร็วในขณะที่รถกำลังจะวิ่งผ่านทางโค้งอย่างนุ่มนวล และต้องมั่นใจว่าปลอดภัย
- เร่งความเร็วเต็มที่เมื่อรถวิ่งผ่านพ้นทางโค้งแล้ว
5. การใช้เบรก
ก. วิธีหยุดรถที่จุดเบรค
- ลดความเร็วลงก่อนถึงเป้าหมายที่จะเบรค เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เบรคหลายๆ ครั้ง (ควรใช้เบรคหน้า - เบรคหลัง และเครื่องยนต์ช่วยเบรคพร้อมๆ กันเพื่อหยุดรถได้ตามเป้าหมายที่กำหนด)
- หยุดรถให้ปลายสุดของล้อหน้าสัมผัสกับจุดเบรคที่กำหนดให้หยุด
- เปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 ก่อนที่จะหยุดรถ
- เมื่อรถหยุดนิ่งแล้วให้ใช้เท้าซ้ายวางลงบนพื้น พร้อมกับบีบคลัทช์ด้วยมือซ้ายจนสุด
ข. การเบรคอย่างกระทันหัน
ค. ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างกระทันหัน
- ควบคุมรถให้ตั้งตรง
- ทำการเบรครถอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ใช้เบรคหน้ามากกว่าเบรคหลัง ระวังให้ล้อล๊อค
- รักษาท่าทางการขับขี่ให้ถูกต้อง ในขณะที่เบรคอย่างรวดเร็ว
- เข่าทั้งสองหนีบชิดกับถังน้ำมัน
- ศอกทั้งสองแบนชิดลำตัว
- มือทั้งสองข้างจับแฮนด์ให้กระชับ งอข้อมือเล็กน้อย ลักษณะเตรียมพร้อมที่จะรับน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้ถลำไปด้านหน้า
- บีบคลัทช์ให้สุดก่อนที่จะหยุดรถ แล้ววางเท้าซ้ายบน
6. การเข้าโค้ง
6.1 ท่าทางการขับขี่และการมองขณะเข้าโค้ง
ก. ท่าทางการขับขี่
- การเอียงตัว ควรอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับตัวรถ ซึ่งเป็นธรรมชาติ ที่จะต้องเอียงตัวตามไปในทิศทางของทางโค้ง
- ศรีษะตั้งตรง อย่าเอียงไปทิศทางเดียวกับรถ
- ห้ามเอียงรถมากจนเกินไป
- เท้าทั้งสองวางอยู่บนที่พักเท้าตลอดเวลา
ข. การมอง
- มองไกลไปข้างหน้าตรงจุดที่ต้องการจะไป
- ห้ามก้มมองลงที่พื้นหรือก้มหน้า
6.2 การเข้าโค้งและการเอียงตัว
- ทำนองเดียวกับผู้ขับขี่จะต้องเอียงตัวในทิศทางเดียวกันกับตัวรถด้วย
- เมื่อขับขี่รถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ควรจะเออียงตัวรถให้เหมาะเพื่อสร้างสมดุลย์กับแรงหนีศูนย์กลาง(centrifugal force) ที่เกิดขึ้น
- ถ้าหากท่านเอียงรถมากเกินไปก็จะทำรถเสียหลักลื่นไถลและล้มลงได้
- เมื่อขับขี่รถเข้าโค้งที่ง่ายๆ หรือใช้ความเร็วช้าๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอียงตัวรถมากเกินไป
ข้อแนะนำในการเข้าโค้ง
- ลดความเร็วลงก่อนที่จะเข้าโค้ง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัย และเริ่มเอียงตัวรถให้ทำมุมที่พอเหมาะกับสภาพของโค้งถนน
- ค่อยๆ เร่งเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลเมือรถเริ่มผ่านโค้ง เพื่อช่วยพยุงรถให้ตั้งตรง
- โดยปกติทั่วๆ ไปจะไม่มีการใช้เบรคขณะที่รถอยู่ในโค้ง แต่ถ้าจำเป็นต้องชะลอความเร็วลงขณะอยู่ในโค้งควรใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค (Engine Brake) พร้อมๆ กับใช้เบรคหน้าช่วยเพียงเล็กน้อย
- เมื่อเข้าโค้งบนถนนที่เปียกหรือลื่น ควรเข้าโค้งอย่างช้าๆ ห้ามเอียงรถมากเกินความจำเป็น
7. การทรงตัวที่ความเร็วต่ำ
7.1 วิธีการขับขี่บนไม้กระดานแคบ
- หยุดรถก่อนจะถึงไม้กระดานแคบ ตั้งล้อหน้าให้ตรง
- เลือกให้เกียร์ 1 ในการออกรถ ทันทีที่ ล้อหน้าอยู่บนไม้กระดาน ค่อยๆ ควบคุมรถให้ล้อหน้าตั้งตรง
- ขับขี่ด้วยความเร็วที่คงที่ช้าๆ
- พยายามควบคุมรถให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดย ใช้ส่วนบังคับ เช่น คัน เร่ง, เบรคหลังและคลัทช์ ให้สัมพันธ์กัน
- แนบเข่าทั้งสองข้างไว้กับถังน้ำมัน ถ้ารถเริ่มส่ายไปทางซ้ายหรือ ทางขวาให้รีบแก้ไขด้วยการบังคับ แฮนด์ให้ตรงหรือโยกตัวขึ้นเพื่อถ่ายน้ำหนักให้สมดุล
- สายตามองตรงไปข้างหน้า
7.2 วิธีขับขี่ในทางคับแคบ
- ก. คาดคะเนขนาดของตัวรถว่าสามารถที่จะขับขี่ผ่านไปในช่องทางแคบๆ ทั้งสองข้างนั้นได้หรือไม่
- ข. ขณะขับขี่ในทางคับแคคดเคี้ยว โดยมีเครื่องหมายอยู่ที่ล้อทั้งสองข้าง จะแสดงถึงความแตกต่างของแนววิ่งของล้อหน้าและล้อหลัง
7.3 การทรงตัวบนทางคดเคี้ยวที่มีสิ่งกีดขวาง
- ตามองตรงไปที่กรวยยาง แถวที่ 2 และ 3
- ควบคุมรถให้ตั้งตรง
- เริ่มเอียงตัวรถไปทางซ้าย
- บิดคันเร่งเพื่อให้รถเริ่มทรงตัวตั้งตรง
- ตั้งรถตรงและผ่อนคันเร่ง
- เอียงรถไปทางขวา
8. การทบทวนข้อปฏิบัติ
- ท่าทางการขับขี่ของท่านถูกต้องหรือไม่
- ท่านออกรถอย่างถูกต้องโดยปราศจากความยุ่งยากหรือไม่
- ท่านสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการด้วยความเรียบร้อยหรือไม่
- ท่านสามารถควบคุมการใช้เบรคได้ดีหรือไม่
- ท่านสามารถหยุดรถได้ทันท่วงทีหรือหยุดรถขณะคับขันได้อย่างง่ายดายหรือไม่
- ท่านลดความเร็วก่อนเข้าทางโค้งและขับขี่ผ่านทางโค้งโดยท่าทางการขับขี่ที่ถูกต้องหรือไม่
- ท่านสามารถขับขี่บนไม้กระดานแคบและทางที่คดเคี้ยวมีสิ่งกีดขวางได้โดยง่ายดายหรือไม่
การฝึกฝนขับขี่ให้ถูกต้อง
1. ผู้ขับขี่ต้องเคารพกฎจราจรเสมอ
- ช่องทางเดินรถ
- ป้ายบังคับ, ป้ายเตือน
- ไฟสัญญาณ และเครื่องหมายจราจร
- การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
- การขับขี่ผ่านทางร่วมทางแยก
- เส้นเครื่องหมายบนพื้นทาง
- การขับขี่รถในวงเวียน
2. การขับขี่เมื่อมีคนซ้อนท้าย
การบรรทุกผู้โดยสาร
- มือ(ผู้โดยสาร) คนซ้อนท้ายต้องกอดเอวผู้ขับขี่
- ส่วนบนของร่างกาย คนซ้อนท้ายต้องนั่งชิดด้านหลังของผู้ขับขี่
- เท้า คนซ้อนท้าย ต้องวางเท้าบนที่พักเท้าหลัง
- เข่า คนซ้อนท้ายต้องนั่งบีบเข่าให้แนบสะโพกผู้ขับขี่
ก. การขับขี่ทั่วไป
- รถอาจจะส่ายไปมา แล่นช้า หรือเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ต้องเว้นที่ว่างให้พอเพียงระหว่างตัวเราและยวดยานทั้งด้านขวาและด้านซ้าย ไม่ควรเปลี่ยนทิศทางในทันทีทันใด
- การกระทำใดๆ โดยฉับพลันอาจก่อให้เกิดความสับสนและอันตราย ผู้ขับขี่ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
ข. การเข้าโค้ง
- เนื่องจากรถมักจะหลุดออกจากโค้ง จึงควรลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง ผู้ขับขี่ควรขับเข้าโค้งช้ากว่าตอนที่ขับคนเดียว
- ผู้โดยสารควรเอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับรถ
ค. การเบรค (การหยุดรถ)
- ไม่ควรหยุดรถในระยะใกล้ หรือกระชั้นชิดเกินไป
- ควรหยุดรถทิ้งช่วงห่างจากรถคันหน้าพอสมควร
- ควบคุมเบรค และเบรคอย่างนุ่มนวล
- เมื่อผู้ขับขี่เบรคอย่างกระทันหัน น้ำหนักของผู้โดยสารจะทับลง (จะเกิดแรงส่ง) มาบนหลังผู้ขับขี่
- ยกหัวเข่าสูงขึ้นและแนบกับตัวรถเพื่อป้องกันมิให้สะโพกเคลื่อนไปข้างหน้า
3. การขับขี่ตามสภาพการจราจรและสภาพถนนต่างๆ
- การปรับระดับความเร็ว
- ระยะห่างในการหยุดรถ
- การขับแซง
- การแล่นแซง และการถูกแซง
- การขับขี่ในเวลากลางคืน
- การขับขี่ในขณะฝนตก
4. บทสรุป
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
ความหมายของคำที่ควรทราบ
- การจราจร ความหมายว่า การใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเท้า คนที่ขี่ จูงหรือไล่ต้อนสัตว์
- ทางร่วมแยก หมายความว่า พื้นที่ที่ทางเดินรถตั้งแต่สองสายตัดผ่านกัน รวมบรรจบกัน หรือติดกัน
- เขตปลอดภัย หมายความ พื้นที่ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลา สำหรับให้คนเดินทางข้ามทางหยุดรอหรือให้คนที่ขึ้นหรือลงรถหยุดรอก่อนจะข้ามทางต่อไป
- ที่คับขัน หมายความว่า
ทางที่มีจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่งกีดขวางหรือในที่ซึ่งมองเห็นหรือทราบได้ร่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตราย หรือเกิดความเสียหายแก่รถหรทอคนได้ง่าย รถยนต์ หมายความว่า รถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการ รถยนต์ส่วนบุคคล ผู้ขับขี่
หมายความว่า ผู้ขับรถ ผู้ประจำเครื่องอุปกรณ์ขนส่งตามกฎหมายขนส่ง ผู้ลากเข็นยานพาหนะ - สัญญาณจราจร หมายความว่า สัญญาณใดๆ ไม่ว่าจะแสดงด้วยธง ไฟ ไฟฟ้า มือ แขน เสียงนกหวีด หรือด้วยวิธีอื่นใดสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนจูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ ปฏิบัติตามสัญญาณนั้น
- เครื่องหมายจราจร หมายความว่า เครื่องหมายใดๆ ที่ติดตั้งไว้ หรือให้ปรากฏในทางสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้าหรือคนจูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ปฏิบัติตามเครื่องหมายนั้น
การใช้รถ
1. ห้ามนำรถต่อไปนี้มาใช้ในทาง
- รถที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรืออาจเกิดอันตราย หรืออาจทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย แก่ผู้ใช้ คนโดยสารหรือประชาชน มาใช้ในทางเดินรถ
- รถที่ไม่ได้ติดแผ่นป้ายทะเบียน
- รถที่เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถ
- รถที่มีล้อหรือส่วนที่สัมผัสกับผิวทางไม่ใช่ยาง เว้นแต่ (1) รถที่ใช้ในราชการสงคราม (2) รถที่ใช้ในราชการตำรวจ (3) รถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรี่
2. รถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่น ควัน ละอองเคมีหรือเสียงดังเกินที่กฎมายกกำหนด เช่น รถที่มีดังเกิน 85 เดซิเบล เอ หรือรถที่มีควันดำเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
การใช้ไฟหรือเสียงสัญญาณ
- ในเวลาที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดเจนภายในระยะไม่น้อยกว่า
150 เมตร ผู้ขับขี่ต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้ายรถ (ไฟส่องสว่าง) ดังนี้
- เปิดไฟสูงเมื่อไม่มีรถสวนมา
- เปิดไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมา
- รถยนต์หรือจักรยานยนต์ต้องใช้เสียงสัญญาณแตรและให้ได้ยินได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร
- ห้ามผู้ขับขี่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ เสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงที่เป็นเสียงนกหวีด เสียงที่แตกพร่า
เสียงหลายเสียง เสียงดังเกินสมควร
- การใช้เสียงสัญญาณจะใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุนั้นแต่จะใช้เสียงยาวหรือซ้ำเกินควรไม่ได้
- รถที่บรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถ
ขณะขับรถอยู่ในทางเดินรถหรือในขณะจอดรถอยู่ในทางเดินของรถหรือไหล่ทาง ในขณะที่แสงสว่างไม่เพียงพอ
ผู้ขับขี่ต้องจุดไฟฟ้าสีแดง
หรือเวลากลางวันต้องติดธงแดงไว้ที่ปลายสุดของสิ่งที่บรรทุกนั้นให้มองเห็นได้ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 150 เมตร
สัญญาณและเครื่องหมายจราจร
- ผู้ขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่ปรากฏข้างหน้าในกรณีต่อไปนี้
- สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพัน ให้ผู้ขับขี่เตรียมหยุดหลังเส้นให้รถหยุด เพื่อเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณจราจรสีแดง หรือเครื่องหมายจราจรสีแดงที่มีคำว่า "หยุด" เว้นแต่ผู้ขับขี่ได้เลยเส้นให้หยุดไปแล้วให้เลยไปได้
- สัญญาณจราจรไฟแดง หรือเครื่องหมายจราจรสีแดง ที่มีคำว่า "หยุด"ให้ผู้ขับขี่รถหยุดหลังเส้นให้รถหยุด
- สัญญาณจราจรไฟเขียว หรือเครื่องหมายจราจรสีเขียวที่มีคำว่า "ไป" ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
- สัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียว ชี้ให้เลี้ยวหรือชี้ตรงไป ให้ผู้ขับขี่ขับขี่ขับรถเลี้ยวหรือตรงไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้
- สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีแดง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นให้หยุดเมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางจราจรแล้ว จึงขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง
- สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีเหลืออำพัน ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง
- สัญญาณจราจรไฟสีแดงที่ทำเป็นรถกากบาท เฉียงอยู่เหนือช่องเดินรถใดห้ามผู้ขับขี่รถในช่องเดินรถนั้น
- สัญญาณจราจรไฟสีเขียวที่ทำเป็นรูปลูกศร อยู่เหนือช่องเดินรถใดให้ผู้ขับขี่รถในช่องเดินรถนั้นขับผ่านไปได้
- ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏข้างหน้าในกรณีต่อไปนี้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอระดับไหล่ของผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหลังของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้อง หยุดรถแต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ลดแขนลงข้างที่เหยียดออกไปนั้นลงและโบกมือไปข้างหน้าให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอ ยู่ทางด้านหลัง ขับผ่านไปได้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่งออกไปเสมอระดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนข้างนั้นของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่บนนั้นแล้วโบกผ่านศรีษะไปทางด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่นั้นขับผ่านไปได้้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไประดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนทั้งสองข้างของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ
- เมื่อพนักงานจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนลงตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหน้าของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่นั้นโบกไปด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่ทางด้านหน้าของพนักงานจ้าหน้าที่ขับผ่านไปได้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียดออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับขี่ขับรถมาทางด้านหน้าและด้านหลังของเจ้าหน้าที่พนักงานที่ต้องหยุดรถ
- ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แสดงด้วยเสียงสัญญาณนกหวีดในกรณีดังต่
อไปนี้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดยาวหนึ่งครั้ง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถทันที่
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดสั้นสองครั้งติดต่อกันให้ผู้ขับขี่ขับรถผ่านไปได้
การให้สัญญาณด้วยมือและแขน
- เมื่อจะลดความเร็วของรถ ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือขึ้นลงหลายครั้ง
- เมื่อจะหยุดรถ ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ ยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบน และตั้งฝ่ามือขึ้น
- เมื่อจะให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงขึ้นหน้า ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือข้าง หน้าหลายๆ ครั้ง
- เมื่อจะเลี้ยวขวาหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถไปทางขวา ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่
- เมื่อจะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถไปทางซ้าย ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และงอข้อมือชูขึ้นโบกไปทางซ้ายหลายๆ ครั้ง
การใช้ไฟสัญญาณของผู้ขับขี่
- เมื่อจะหยุดรถผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟสีแดงที่ท้ายรถ
- เมื่อจะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงรถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองอำพันที่ติด อยู่หน้าและท้ายรถหรือ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
- เมื่อจะให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า ผู้ขับขี่ต้อง ให้สัญญาณไฟยกเลี้ยวสีเหลืองอำพัน หรือไฟกะพริบสีแดงหรือสีเหลือง อำพันที่ติดอยู่ท้ายรถทางด้านซ้ายของรถ
- ผู้ที่จะเลี้ยวรถ ให้รถคันอื่นแซงเพื่อขึ้นหน้า เปลี่ยนช่องทางเดินรถลดความเร็วหยุดรถ หรือจอดรถ ต้องให้สัญญาณ ด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณ ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร
- ผู้ขับขี่ต้องใช้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณ ก่อนที่จะเลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถลดความเร็วของรถ ลดความเร็ว หยุดรถ หรือจอดรถ เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร
การขับรถแซงและผ่านขึ้นหน้าคันอื่น
- ในทางเดินรถที่ไม่ได้แบ่งช่องทางเดินรถไว้ ผู้ขับขี่ประสงค์จะแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่น ต้องให้สัญญาณกะพริบไฟหน้าหลายๆ ครั้ง หรือให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวขวาหรือให้เสียงสัญญาณดังพอที่จะให้ผู้ขับขี่คันหน้าให้สัญญาณตอบ (ยกไฟเลี้ยวที่ติดอยู่ด้านซ้ายของรถหรือให้สัญญาณด้วยมือและแขน โดยการยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอ ระดับไหล ่และโบกมือไปข้างหน้าหลาย ๆ ครั้ง)
- การแซงต้องแซงด้านขวา
- ผู้ขับขี่จะแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นด้านซ้ายได้ กรณีต่อไปนี้
- รถที่กำลังแซงจะเลี้ยวขวา หรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา
- ทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งช่องทางเดินรถไปในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป
- ห้ามขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่น ในกรณีต่อไปนี้
- เมื่อรถกำลังขึ้นทางลาดชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง
- ภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางเข้า ทางร่วมแยก วงเวียน หรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ
- เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร
- เมื่อที่เข้าที่คับขัน หรือ เขตปลอดภัย
- เมื่อได้รับสัญญาณขอแซงขึ้นหน้าจากรถคันหลังจากผู้ขับรถที่มีความเร็วช้าหรือใช้ความเร็วต่ำกว่ารถคันอื่นที่ขับขี่
ในทิศทาง เดียวกันต้องยอมให้รถที่มีความเร็วสูงกว่า ผ่านขึ้นหน้าและผู้ขับขี่ที่ถูกขอทางต้องปฏิบัติดังนี้
- ให้สัญญาณมือและแขนโดยยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่และโบกมือไปทางข้างหน้าหลายครั้ง หรือให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอำพันที่ติดทางด้านซ้ายของรถ
- ลดความเร็วของรถลง
- ขับรถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถเพื่อให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้าได้โดยปลอดภัย
การหยุดและการจอดรถ
- การหยุดรถหรือการจอดรถในทางเดินรถต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณตามที่ กฎหมายกำหนด ก่อนที่จะหยุดรถหรือจอดรถในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร และจะหยุดหรือจอด ได้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย และไม่เป็นการกีดขวางจราจร
- ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอดให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดกับขอบทางหรือ ไหล่ทางในระยะห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร
- การจอดรถในทางเดินรถที่ผู้ขับขี่ไม่อาจอยู่ควบคุมรถนั้นผู้ขับขี่ต้องหยุดเครื่องยนต์และห้ามล้อไว้
- การจอดรถในทางเดินรถที่เป็นทางลาดหรือชัน ผู้ขับขี่ต้องหันล้อหน้าของรถเข้าขอบทาง
- ในกรณีเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ของรถขับข้อจนต้องจอดรถในทางเดินรถผู้ขับขี่ต้องนำรถให้พ้นทาง เดินรถโดยเร็วที่สุด
ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเร็วของรถ
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม ให้ขับในเขตกรุงเทพฯ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเมืองเทศบาล ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถยนต์อื่นนอกจากข้อ 3 ขณะลากจูงรถพวง รถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนัก รถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม หรือรถยนต์สามล้อบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัมให้ขับในเขตกรุงเทพฯ เมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไหล่ทางในระยะห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร
- รถยนต์อื่นนอกจากข้อ 1.และข้อ 2.(รถเก๋ง) หรือรถจักรยานยนต์ให้ขับในเขตกรุงเทพ เมืองพัทยา หรือเทศบาล
ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตรายหรือเขตให้กลับรถช้าๆ ให้ลดความเร็วและ เพิ่มความระมัดระวัง
- ในกรณีที่มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ขับไม่เกินที่กำหนด ไว้ในเครื่องหมาย
- ผู้ขับขี่จะต้องเลี้ยวให้รถคันอื่นแซงหรือผ่านขึ้นหน้า จอดรถหยุดรถ กลับรถหรือเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้ามเส้นให้หยุดรถ วงเวียน หรือขับรถบนเนินเขา บนสะพาน ที่เชิงสะพาน ที่แคบ ทางโค้งทางลาด ที่คับขัน ที่มีหมอก ฝน ฝุ่น ควัน จนทำให้ไม่อาจมองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร ผู้ขับขี่ต้องลด ความเร็วในลักษณะที่จะให้เกิดความปลอดภัย
การขับผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน
- เมื่อผู้ขับขี่รถมาถึงทางร่วมทางแยกและถ้าไม่มีเครื่องหมายจราจรหรือสัญญาณจราจรกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังนี้
- ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่มีอยู่ในทางร่วมทางแยกผ่านไปก่อน
- ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้าน ซ้ายมือขอตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเอกมีสิทธิ์ขับผ่านไปก่อน
- ถ้าสัญญาณจราจรไฟเขียว ปรากฏข้างหน้า แต่ในทางร่มทางแยกมีรถอื่นหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถ ผ่านพ้นทางร่วมทางแยกไปได้ ผู้ขับขี่จะต้องหยุดรถ ที่หลังเส้นหยุดจนกว่าจะสามารถเคลื่อนรถผ่านพ้นทาง ร่วมทางแยกไปได้
- ผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียนซึ่งมิได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรหรือสัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่น ต้องให้สิทธิแก้ผู้ขับรถ อยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน
- ผู้ขับขี่ขัยรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในบริเวณอาคารเมื่อ จะขับรถผ่านหรือเลี้ยวสู่ทางเดินรถที่ตัดผ่านต้องหยุดรถเพื่อให้รถที่กำลังผ่านทางหรือแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่าน ไปก่อนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้
ความรู้ทั่วไปการขับขี่
1 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ในการขับขี่
หมวกกันน๊อค
- ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายต้องสวมใส่หมวกกันน๊อคในขณะขับขี่ทุกครั้ง และหมวกกันน๊อคต้องมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจาก มอก.
- การสวมใส่หมวกกันน๊อคทุกครั้ง ต้องใส่สายรัดคางให้แน่นกระชับพอดี ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป โดยปกติ
- สามารถใช้นิ้วชี้สอดเข้าไปใต้คางได้พอดี
แว่นตากันลม
- ผู้ขับขี่ควรที่จะสวมใส่แว่นกันลม เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละออง,เศษหิน,ทราย,ตัวแมลง หรือน้ำฝนกระเด็นเข้าตาในขณะขับขี่
เสื้อแจ็กเก็ตและกางเกง
- ควรสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่มีสีสันสว่างสดใส เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล
- กางเกงควรเป็นกางเกงที่มีเนื้อผ้าที่หนา เช่น กางเกงยีนส์ ที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป
ถุงมือ
- ผู้ขับขี่ใส่ถุงมือสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อให้กระชับในขณะขับขี่และป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่มือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
รองเท้า
- ควรสวมใส่รองเท้าบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้นทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย ไม่ควรสวมรองเท้าแตะในการขับขี่รถเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงบริเวณเท้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
2. การใช้ขาตั้งข้างและการจูงรถจักรยานยนต์
2.1 วิธีการเก็บและใช้ขาตั้งกลาง
ก.การเก็บขาตั้งกลาง
- ใช้มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์รถ อย่าให้หน้ารถหันไปด้านซ้ายหรือขวา
- 2. ดันรถให้ไปข้างหน้าด้วยแขนทั้งสองข้างพร้อมกับใช้สะโพกด้านข้างดันรถไว้เพื่อมิให้ล้ม
- ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวจากขาตั้งกลางให้ใช้มือขวาค่อยๆ บีบเบรกหน้าเพื่อช่วยป้องกันมิให้รถลื่นไถลไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ข.ใช้ขาตั้งกลาง
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์รถ มือขวาจับใต้เบาะด้านหลังรถ
- รักษาตำแหน่งหน้ารถให้แฮนด์ตั้งตรงอยู่เสมอไม่หันไปทางซ้ายหรือขวา
- เท้าขวาเหยียบลงบนคานของขาตั้งกลาง ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนคานตั้งทั้งตัว พร้อมกับใช้มือขวาที่จับอยู่ด้านหลังรถยกขึ้นในจังหวะเดียวกัน
ข้อควรระวังในการจอดรถโดยใช้ขาตั้ง
- ควรเลือกพื้นถนนที่ราบเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ และแข็งพอที่จะไม่ทำให้รถล้มลงได้
- การใช้ขาตั้งกลางขณะที่รถเอียงหรือตั้งหน้ารถไม่ตรง จะต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ
วิธีใช้และเก็บขาตั้งข้าง
- เลือกพื้นถนนที่แข็งเพื่อมิให้พื้นเกิดการยุบตัว
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์มือขวาจับที่มือจับด้านหลังหรือจะใช้มือทั้งสองข้างจับยึดที่แฮนด์ด้านหน้าอย่างเดียวก็ได้ รักษาตำแหน่งรถให้ตั้งตรงใช้เท้าขวาถีบขาตั้งข้างลงมาจนสุด
- ค่อยๆ เอียงรถช้าๆ จนกว่าขาตั้งข้างจะสัมผัสกับพื้นถนน จับแฮนด์รถหันไปทางซ้ายในตำแหน่งล๊อคคอรถ
- ใส่เกียร์รถไปที่ตำแหน่งเกียร์1 เพื่อป้องกันรถลื่นไถล
- ยกรถขึ้นจนกระทั่งปลายขาตั้งข้างพ้นจากพื้นถนน ตำแหน่งรถตั้งตรง
- ใช้ปลายเท้าขวาเตะขาตั้งข้างขึ้นเก็บเข้าที่เดิม
2.2 การจูงรถ
ก. การจูงรถไปด้านหน้า
- ใช้มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์มือขวาพร้อมที่จะใช้เบรคหน้าได้ตลอดเวลาเมื่อจำเป็น
- รักษาตำแหน่งรถให้ตั้งตรง
- ใช้ลำตัวแนบเข้ากับตัวรถดันมิให้ล้ม พร้อมกับออกแรงดันรถไปด้านหน้า
ข.การจูงรถรูปเลข 8
- เมื่อต้องการจูงรถไปด้านซ้ายให้หันแฮนด์รถไปทางซ้าย เอียงรถเข้าหาลำตัวเล็กน้อย
- เมื่อต้องการจูงรถไปด้านขวาให้หันแฮนด์รถไปทางขวาพร้อมกับใช้สะโพกดันรถไว้อยู่ตลอดเวลา
ค.การจูงรถถอยหลัง
- ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์ มือขวาจับที่มือจับด้านหลัง
- ค่อยๆ ดันรถไปทางด้านหลังช้าๆ ระวังอย่าให้หน้ารถส่ายไปมา
2.3 วิธีการยกรถเมื่อล้ม
กรณีรถล้มลงทางด้านซ้ายมือ
- จับแฮนด์รถไปทางด้านขวา จนกระทั่งสุดในตำแหน่งล๊อคคอ
- ใช้มือทั้งสองชข้างจับที่แฮนด์ทั้งสองข้าง มือขวาบีบคันเบรคหน้าเอาไว้
- ค่อยๆ ยกรถขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้เข่าและสะโพกแนบกับตัวรถ ค่อยๆ ดันรถขึ้นช้าๆ ในจังหวะเดียวกัน จนกว่ารถจะตั้งตรง
- ใช้เท้าขวาเขี่ยขาตั้งข้างลง ค่อย ๆ เอียงรถจนกระทั่งปลายขาตั้งสัมผัสกับพื้นถนนอย่างมั่นคง
กรณีรถล้มทางด้านขวา
- ให้เดินอ้อมไปทางด้านที่รถล้มแล้วเอาขาตั้งข้างกางออกให้สุด
- จับแฮนด์รถหันไปด้านซ้ายและใช้วิธีการยกรถเช่นเดียวกันกับกรณีรถล้มทางด้านซ้ายมือ จนกว่าขาตั้งจะสัมผัสกับพื้นถนน
3. การตรวจเช็คก่อนการขับขี่
ควรสำรวจตัวรถและตรวจเช็คระบบที่สำคัญต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ
และเพื่อความปลอยภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนอื่นๆ
ก. น้ำมันเชื้อเพลิง
- การขับขี่ทุกครั้งต้องแน่ใจว่า มีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงพออยู่เสมอ
ข.น้ำมันหล่อลื่น
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันหล่อลื่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่น้ำมันเครื่องสกปรก
ค.ยาง
- ควรตรวจเช็คแรงดันลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป
- ควรตรวจเช็คสภาพและการสึกหรอของยางอย่างสม่ำเสมอ
4. ท่าทางการขับขี่
ก. การขึ้นรถ - ลงรถ
- อย่าหันหรือหมุนแฮนด์รถไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
- ควรเอียงรถเข้าหาตัวผู้ขับขี่เล็กน้อย
- ควรวางเท้าซ้ายของท่านให้มั่นคงลงบนพื้นถนน
ข. ตำแหน่งการนั่งขับขี่
- คล่องตัวในการควบคุมรถ
- มีการทรงตัวที่ดี
- ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดี
- ไม่เมื่อยล้าในขณะขับขี่ (ไม่ควรนั่งชิดด้านหน้าหรือหลังมากเกินไป)
- ตามองตรงไปข้างหน้าไม่ก้มหรือเงย
- วางไหล่ให้สบายๆ ไม่ยกหรือเกร็งจนเกินไป
- ปล่อยแขนตามธรรมชาติไม่กางออก
- จับแฮนด์ทั้งสองให้มืออยู่ระหว่างกึ่งกลางของมือจับพอดี และให้กระชับ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป
- นั่งขับขี่รถในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการควบคุม
- วางเท้าทั้งสองลงบนที่พักเท้า ให้ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า โดยที่ปลายเท้าขวา แตะเบาๆ อยู่คันเบรคหลัง และปลายเท้าซ้ายวางไว้ที่คันเปลี่ยนเกียร์ (อย่าสอดปลายเท้าทั้งสองไว้ด้านล่างคันเปลี่ยนเกียร์ และคันเบรคหลัง)
- หัวเข่าเหยียดตรงไปข้างหน้า บีบกระชับให้พอดีๆ กับถังน้ำมัน (อย่ากางเข่าออกมาด้านซ้ายโดยเด็ดขาด)
5. การออกรถ, การหยุดรถ
ก. การออกรถี่
- มองดูรถคันอื่นและผู้เดินถนนในกระจกมองหลัง
- ใช้เท้าขวาวางบนพื้นถนนเพื่อพยุงรถไม่ให้ล้ม
- หลังจากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ ตามขั้นตอนของการสตาร์ทหน้า 21 แล้วค่อยๆ บีบคลัทช์มาด้านหลังช้าๆจนสุด
- เลือกใช้เกียร์หนึ่ง
- ก่อนที่จะออกรถหันมองดูด้านเหนือไหล่ขวา ว่ามีรถคันอื่นวิ่งมาหรือไม่
- เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เปิดไฟเลี้ยวขวา
- ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่เท้าซ้ายเท้าขวาวางไว้ที่คันเบรกหลัง
- บิดคันเร่งช้าๆ ให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,000 - 3,000 รอบ/นาที แล้วหยุดค้างไว้
- ค่อยๆ ปล่อยคันคลัทช์ช้าๆจนกว่ารถจะค่อยๆ เคลื่อนตัว(ในตำแหน่งนี้มือยังคงกำคันคลัชอยู่) การปล่อยคันคลัทช์ให้ทำงานเร็วเกินไปจะเป็น สาเหตุให้รถออกตัวกระตุกหรือเครื่องยนต์ดับ (ท่านอาจสังเกตโดยการฟังเสียงของเครื่อง ยนต์หรืออาการสั่นของรถได้)
- ปิดสวิทซ์ไฟเลี้ยวหลังจากที่รถ ออกตัวเรียบร้อยแล้ว
- บิดคันเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น
- ปล่อยคันคลัทช์จนสุด
ข. การหยุรถ
- ตรวจเช็คความปลอดภัย มองดูกระจกหลังด้านซ้าย เช็คความปลอดภัยจากรถคันอื่น
- ให้สัญญานไฟ เปิดสัญญานไฟเลี้ยวซ้าย
- เช็คความปลอดภัยและขับรถออกไปทางด้านซ้าย มองดูด้านหลังเหนือไหล่ซ้าย เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่มีรถหรือคนเดินถนนด้านซ้ายผ่านไปมา แล้วค่อยเลี้ยวรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้าย
- เบาคันเร่ง คืนคันเร่งจนสุดและใช้กำลังเครื่องยนต์ เป็นตัวช่วยลดความเร็ว (Engine Brake)
- เบรค บีบคันเบรคหน้าด้านขวาของแฮนด์และ ใช้เท้าขวาเหยีบที่คันเบรคหลังช้าๆ เบาๆ
- เริ่มบีบคลัทช์ ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังทำการหยุดรถ จนกระทั่งรถหยุดสนิทเปลี่ยนเกียร์ไป ที่เกียร์หนึ่ง หรือเกียร์ว่างเมื่อจอดรถ
- หยุดรถ ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังทำการหยุดรถ จนกระทั่งรถหยุดสนิทเปลี่ยนเกียร์ไป ที่เกียร์หนึ่ง หรือเกียร์ว่างเมื่อจอดรถ
ความรู้พื้นฐานการขับขี่
1. การออกรถและการเร่งเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวล
- เพื่อความปลอดภัย หันมองดูรอบๆ แล้วเปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
- เลือกใช้เกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์1
- หันมองผ่านเหนือไหล่ขวาตรวจเช็คความปลอดภัยอีกครั้ง
- เริ่มออกรถไปทางขวาช้า ๆ
- เมื่อออกรถเรียบร้อยแล้ว ให้ปิดไฟสัญญาณเลี้ยวขวา
ข้อแนะนำในการออกรถ
- การออกรถต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก จงระมัดระวังอย่าให้รถคันอื่นต้องหลบหรือลดความเร็วลงในขณะที่ท่านนำรถออกจากข้างทาง
- ระวัง! อย่าออกรถด้วยการเลี้ยวออกมาทางด้านขวาอย่างกระทันหัน
การออกรถอย่างรวดเร็วและการเร่งความเร็ว
- หมั่นพยายามฝึกฝนหาความชำนาญในการออกรถอย่างรวดเร็ว ด้วยการบิดคันเร่งและปล่อยคลัทช์อย่างรวดเร็วให้สัมพันธ์เวลาเดียวกัน จนกว่าจะเกิดความคล่องตัวในการใช้คลัทช์ได้อย่างดี เพราะบางครั้งการขับขี่รถบางครั้งการขับขี่รถต้องให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรในช่วงเวลาการจราจรติดขัดหรือในชั่วโมงเร่งด่วน
- ฝึกการใช้คลัทช์สลับกันไปมาเพื่อช่วยในการปรับลดความเร็วในขณะขับขี่รถเข้าทางแยกหรือหักมุมถนน
2. การเปลี่ยนเกียร์
ก. วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์สูงกว่า
ข. วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ต่ำกว่า
- จากตารางด้านบนนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่า เมื่อไรควรจะเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ที่ต่ำกว่า การตัดสินใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ดังต่อไปนี้
- เมื่อลดความเร็วลง
- ขณะขับขี่รถบนทางสูงชันหรือขณะที่แซงรถคันอื่น
- ต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรกในขณะขับขี่บนถนนที่เปียกลื่นหรือขับขี่รถลงเขา
3. การเบรค
การใช้เบรคหน้าและเบรคหลังอย่างมีประสิทธิภาพ
ก. วิธัใช้เบรคหน้า
ข. วิธีใช้เบรคหลัง
ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างถูกวิธี
- คืนคันเร่งแล้วใช้เบรค (วิธีนี้จะทำให้เกิดการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค)
- ใช้เบรคหน้าและเบรคหลังพร้อมๆ กัน (จะสามารถหยุดรถได้ด้วยระยะทางสั้นๆ และมีประสิทธิภาพ)
- การใช้เบรคควรใช้ในขณะที่รถอยู่ในตำแหน่งตั้งตรง
- หลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างกระทันหันหรืออย่างรุนแรง
- การใช้เบรคด้วยวิธีย้ำเบรคก่อนหยุดรถจะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรงและช่วยเตือน ให้ผู้ขับขี่ด้านหลังเพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาก เพราะขณะที่ใช้เบรคสัญญาณไฟเบรคจะปรากฏที่ด้านหลังรถทุกครั้งที่ใช้เบรค
- บนพื้นผิวถนนที่เปียก ระยะทางการหยุดรถต้องยาวกว่าพื้นถนนแห้ง จงหลีกเลี่ยงการเบรคอย่างกระทันหันและรุนแรง เพราะจะทำให้รถเสียหลักลื่นไถลหรือล้มลงได้ การใช้เบรคบนถนนที่เปียกต้องตั้งตัวรถให้ตรงอยู่เสมอหลีกเลี่ยงการใช้เบรคอย่างรุนแรง และควรขับขี่รถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติพอสมควร
4. การควบคุมความเร็ว
ก. การควบคุมความเร็วบนถนนทางตรง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัยตามความเหมาะสมของสภาพการจราจร
- อย่าเพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น
- ขับขี่รถด้วยความระมัดระวังไม่กีดขวางการจราจร
ข. การใช้คลัทช์ขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ
- เลือกใช้เกียร์ 1 หรือ 2 พร้อมกับบิดคันเร่งเล็กน้อย ควบคุมความเร็วด้วยการบีบคลัทช์ช่วยประมาณของปกติ เพื่อช่วยมิให้เครื่องยนต์ดับหรือเกิดอาการกระตุก
- พยายามควบคุมให้ตรง อย่าเสียการทรงตัว กรณีที่ขับขี่รถที่ความเร็วต่ำมากๆ เครื่องอาจจะสั่นหรือกระตุก ให้บิดคันเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับบีบคลัทช์
ค. การควบคุมความเร็วขณะเข้าโค้ง
- ลดความเร็วก่อนที่จะเข้าโค้ง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัยให้คงที่ขณะเข้าโค้ง
- ค่อยๆ เพิ่มความเร็วในขณะที่รถกำลังจะวิ่งผ่านทางโค้งอย่างนุ่มนวล และต้องมั่นใจว่าปลอดภัย
- เร่งความเร็วเต็มที่เมื่อรถวิ่งผ่านพ้นทางโค้งแล้ว
5. การใช้เบรก
ก. วิธีหยุดรถที่จุดเบรค
- ลดความเร็วลงก่อนถึงเป้าหมายที่จะเบรค เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เบรคหลายๆ ครั้ง (ควรใช้เบรคหน้า - เบรคหลัง และเครื่องยนต์ช่วยเบรคพร้อมๆ กันเพื่อหยุดรถได้ตามเป้าหมายที่กำหนด)
- หยุดรถให้ปลายสุดของล้อหน้าสัมผัสกับจุดเบรคที่กำหนดให้หยุด
- เปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 ก่อนที่จะหยุดรถ
- เมื่อรถหยุดนิ่งแล้วให้ใช้เท้าซ้ายวางลงบนพื้น พร้อมกับบีบคลัทช์ด้วยมือซ้ายจนสุด
ข. การเบรคอย่างกระทันหัน
ค. ข้อแนะนำในการใช้เบรคอย่างกระทันหัน
- ควบคุมรถให้ตั้งตรง
- ทำการเบรครถอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ใช้เบรคหน้ามากกว่าเบรคหลัง ระวังให้ล้อล๊อค
- รักษาท่าทางการขับขี่ให้ถูกต้อง ในขณะที่เบรคอย่างรวดเร็ว
- เข่าทั้งสองหนีบชิดกับถังน้ำมัน
- ศอกทั้งสองแบนชิดลำตัว
- มือทั้งสองข้างจับแฮนด์ให้กระชับ งอข้อมือเล็กน้อย ลักษณะเตรียมพร้อมที่จะรับน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้ถลำไปด้านหน้า
- บีบคลัทช์ให้สุดก่อนที่จะหยุดรถ แล้ววางเท้าซ้ายบน
6. การเข้าโค้ง
6.1 ท่าทางการขับขี่และการมองขณะเข้าโค้ง
ก. ท่าทางการขับขี่
- การเอียงตัว ควรอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับตัวรถ ซึ่งเป็นธรรมชาติ ที่จะต้องเอียงตัวตามไปในทิศทางของทางโค้ง
- ศรีษะตั้งตรง อย่าเอียงไปทิศทางเดียวกับรถ
- ห้ามเอียงรถมากจนเกินไป
- เท้าทั้งสองวางอยู่บนที่พักเท้าตลอดเวลา
ข. การมอง
- มองไกลไปข้างหน้าตรงจุดที่ต้องการจะไป
- ห้ามก้มมองลงที่พื้นหรือก้มหน้า
6.2 การเข้าโค้งและการเอียงตัว
- ทำนองเดียวกับผู้ขับขี่จะต้องเอียงตัวในทิศทางเดียวกันกับตัวรถด้วย
- เมื่อขับขี่รถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ควรจะเออียงตัวรถให้เหมาะเพื่อสร้างสมดุลย์กับแรงหนีศูนย์กลาง(centrifugal force) ที่เกิดขึ้น
- ถ้าหากท่านเอียงรถมากเกินไปก็จะทำรถเสียหลักลื่นไถลและล้มลงได้
- เมื่อขับขี่รถเข้าโค้งที่ง่ายๆ หรือใช้ความเร็วช้าๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอียงตัวรถมากเกินไป
ข้อแนะนำในการเข้าโค้ง
- ลดความเร็วลงก่อนที่จะเข้าโค้ง
- รักษาความเร็วที่ปลอดภัย และเริ่มเอียงตัวรถให้ทำมุมที่พอเหมาะกับสภาพของโค้งถนน
- ค่อยๆ เร่งเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลเมือรถเริ่มผ่านโค้ง เพื่อช่วยพยุงรถให้ตั้งตรง
- โดยปกติทั่วๆ ไปจะไม่มีการใช้เบรคขณะที่รถอยู่ในโค้ง แต่ถ้าจำเป็นต้องชะลอความเร็วลงขณะอยู่ในโค้งควรใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค (Engine Brake) พร้อมๆ กับใช้เบรคหน้าช่วยเพียงเล็กน้อย
- เมื่อเข้าโค้งบนถนนที่เปียกหรือลื่น ควรเข้าโค้งอย่างช้าๆ ห้ามเอียงรถมากเกินความจำเป็น
7. การทรงตัวที่ความเร็วต่ำ
7.1 วิธีการขับขี่บนไม้กระดานแคบ
- หยุดรถก่อนจะถึงไม้กระดานแคบ ตั้งล้อหน้าให้ตรง
- เลือกให้เกียร์ 1 ในการออกรถ ทันทีที่ ล้อหน้าอยู่บนไม้กระดาน ค่อยๆ ควบคุมรถให้ล้อหน้าตั้งตรง
- ขับขี่ด้วยความเร็วที่คงที่ช้าๆ
- พยายามควบคุมรถให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดย ใช้ส่วนบังคับ เช่น คัน เร่ง, เบรคหลังและคลัทช์ ให้สัมพันธ์กัน
- แนบเข่าทั้งสองข้างไว้กับถังน้ำมัน ถ้ารถเริ่มส่ายไปทางซ้ายหรือ ทางขวาให้รีบแก้ไขด้วยการบังคับ แฮนด์ให้ตรงหรือโยกตัวขึ้นเพื่อถ่ายน้ำหนักให้สมดุล
- สายตามองตรงไปข้างหน้า
7.2 วิธีขับขี่ในทางคับแคบ
- ก. คาดคะเนขนาดของตัวรถว่าสามารถที่จะขับขี่ผ่านไปในช่องทางแคบๆ ทั้งสองข้างนั้นได้หรือไม่
- ข. ขณะขับขี่ในทางคับแคคดเคี้ยว โดยมีเครื่องหมายอยู่ที่ล้อทั้งสองข้าง จะแสดงถึงความแตกต่างของแนววิ่งของล้อหน้าและล้อหลัง
7.3 การทรงตัวบนทางคดเคี้ยวที่มีสิ่งกีดขวาง
- ตามองตรงไปที่กรวยยาง แถวที่ 2 และ 3
- ควบคุมรถให้ตั้งตรง
- เริ่มเอียงตัวรถไปทางซ้าย
- บิดคันเร่งเพื่อให้รถเริ่มทรงตัวตั้งตรง
- ตั้งรถตรงและผ่อนคันเร่ง
- เอียงรถไปทางขวา
8. การทบทวนข้อปฏิบัติ
- ท่าทางการขับขี่ของท่านถูกต้องหรือไม่
- ท่านออกรถอย่างถูกต้องโดยปราศจากความยุ่งยากหรือไม่
- ท่านสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการด้วยความเรียบร้อยหรือไม่
- ท่านสามารถควบคุมการใช้เบรคได้ดีหรือไม่
- ท่านสามารถหยุดรถได้ทันท่วงทีหรือหยุดรถขณะคับขันได้อย่างง่ายดายหรือไม่
- ท่านลดความเร็วก่อนเข้าทางโค้งและขับขี่ผ่านทางโค้งโดยท่าทางการขับขี่ที่ถูกต้องหรือไม่
- ท่านสามารถขับขี่บนไม้กระดานแคบและทางที่คดเคี้ยวมีสิ่งกีดขวางได้โดยง่ายดายหรือไม่
การฝึกฝนขับขี่ให้ถูกต้อง
1. ผู้ขับขี่ต้องเคารพกฎจราจรเสมอ
- ช่องทางเดินรถ
- ป้ายบังคับ, ป้ายเตือน
- ไฟสัญญาณ และเครื่องหมายจราจร
- การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
- การขับขี่ผ่านทางร่วมทางแยก
- เส้นเครื่องหมายบนพื้นทาง
- การขับขี่รถในวงเวียน
2. การขับขี่เมื่อมีคนซ้อนท้าย
การบรรทุกผู้โดยสาร
- มือ(ผู้โดยสาร) คนซ้อนท้ายต้องกอดเอวผู้ขับขี่
- ส่วนบนของร่างกาย คนซ้อนท้ายต้องนั่งชิดด้านหลังของผู้ขับขี่
- เท้า คนซ้อนท้าย ต้องวางเท้าบนที่พักเท้าหลัง
- เข่า คนซ้อนท้ายต้องนั่งบีบเข่าให้แนบสะโพกผู้ขับขี่
ก. การขับขี่ทั่วไป
- รถอาจจะส่ายไปมา แล่นช้า หรือเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ต้องเว้นที่ว่างให้พอเพียงระหว่างตัวเราและยวดยานทั้งด้านขวาและด้านซ้าย ไม่ควรเปลี่ยนทิศทางในทันทีทันใด
- การกระทำใดๆ โดยฉับพลันอาจก่อให้เกิดความสับสนและอันตราย ผู้ขับขี่ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
ข. การเข้าโค้ง
- เนื่องจากรถมักจะหลุดออกจากโค้ง จึงควรลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง ผู้ขับขี่ควรขับเข้าโค้งช้ากว่าตอนที่ขับคนเดียว
- ผู้โดยสารควรเอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับรถ
ค. การเบรค (การหยุดรถ)
- ไม่ควรหยุดรถในระยะใกล้ หรือกระชั้นชิดเกินไป
- ควรหยุดรถทิ้งช่วงห่างจากรถคันหน้าพอสมควร
- ควบคุมเบรค และเบรคอย่างนุ่มนวล
- เมื่อผู้ขับขี่เบรคอย่างกระทันหัน น้ำหนักของผู้โดยสารจะทับลง (จะเกิดแรงส่ง) มาบนหลังผู้ขับขี่
- ยกหัวเข่าสูงขึ้นและแนบกับตัวรถเพื่อป้องกันมิให้สะโพกเคลื่อนไปข้างหน้า
3. การขับขี่ตามสภาพการจราจรและสภาพถนนต่างๆ
- การปรับระดับความเร็ว
- ระยะห่างในการหยุดรถ
- การขับแซง
- การแล่นแซง และการถูกแซง
- การขับขี่ในเวลากลางคืน
- การขับขี่ในขณะฝนตก
4. บทสรุป
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
ความหมายของคำที่ควรทราบ
- การจราจร ความหมายว่า การใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเท้า คนที่ขี่ จูงหรือไล่ต้อนสัตว์
- ทางร่วมแยก หมายความว่า พื้นที่ที่ทางเดินรถตั้งแต่สองสายตัดผ่านกัน รวมบรรจบกัน หรือติดกัน
- เขตปลอดภัย หมายความ พื้นที่ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลา สำหรับให้คนเดินทางข้ามทางหยุดรอหรือให้คนที่ขึ้นหรือลงรถหยุดรอก่อนจะข้ามทางต่อไป
- ที่คับขัน หมายความว่า
ทางที่มีจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่งกีดขวางหรือในที่ซึ่งมองเห็นหรือทราบได้ร่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตราย หรือเกิดความเสียหายแก่รถหรทอคนได้ง่าย รถยนต์ หมายความว่า รถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการ รถยนต์ส่วนบุคคล ผู้ขับขี่
หมายความว่า ผู้ขับรถ ผู้ประจำเครื่องอุปกรณ์ขนส่งตามกฎหมายขนส่ง ผู้ลากเข็นยานพาหนะ - สัญญาณจราจร หมายความว่า สัญญาณใดๆ ไม่ว่าจะแสดงด้วยธง ไฟ ไฟฟ้า มือ แขน เสียงนกหวีด หรือด้วยวิธีอื่นใดสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนจูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ ปฏิบัติตามสัญญาณนั้น
- เครื่องหมายจราจร หมายความว่า เครื่องหมายใดๆ ที่ติดตั้งไว้ หรือให้ปรากฏในทางสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้าหรือคนจูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ปฏิบัติตามเครื่องหมายนั้น
การใช้รถ
1. ห้ามนำรถต่อไปนี้มาใช้ในทาง
- รถที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรืออาจเกิดอันตราย หรืออาจทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย แก่ผู้ใช้ คนโดยสารหรือประชาชน มาใช้ในทางเดินรถ
- รถที่ไม่ได้ติดแผ่นป้ายทะเบียน
- รถที่เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถ
- รถที่มีล้อหรือส่วนที่สัมผัสกับผิวทางไม่ใช่ยาง เว้นแต่ (1) รถที่ใช้ในราชการสงคราม (2) รถที่ใช้ในราชการตำรวจ (3) รถที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจรี่
2. รถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่น ควัน ละอองเคมีหรือเสียงดังเกินที่กฎมายกกำหนด เช่น รถที่มีดังเกิน 85 เดซิเบล เอ หรือรถที่มีควันดำเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
การใช้ไฟหรือเสียงสัญญาณ
- ในเวลาที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดเจนภายในระยะไม่น้อยกว่า
150 เมตร ผู้ขับขี่ต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้ายรถ (ไฟส่องสว่าง) ดังนี้
- เปิดไฟสูงเมื่อไม่มีรถสวนมา
- เปิดไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมา
- รถยนต์หรือจักรยานยนต์ต้องใช้เสียงสัญญาณแตรและให้ได้ยินได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร
- ห้ามผู้ขับขี่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ เสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงที่เป็นเสียงนกหวีด เสียงที่แตกพร่า
เสียงหลายเสียง เสียงดังเกินสมควร
- การใช้เสียงสัญญาณจะใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุนั้นแต่จะใช้เสียงยาวหรือซ้ำเกินควรไม่ได้
- รถที่บรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถ
ขณะขับรถอยู่ในทางเดินรถหรือในขณะจอดรถอยู่ในทางเดินของรถหรือไหล่ทาง ในขณะที่แสงสว่างไม่เพียงพอ
ผู้ขับขี่ต้องจุดไฟฟ้าสีแดง
หรือเวลากลางวันต้องติดธงแดงไว้ที่ปลายสุดของสิ่งที่บรรทุกนั้นให้มองเห็นได้ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 150 เมตร
สัญญาณและเครื่องหมายจราจร
- ผู้ขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่ปรากฏข้างหน้าในกรณีต่อไปนี้
- สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพัน ให้ผู้ขับขี่เตรียมหยุดหลังเส้นให้รถหยุด เพื่อเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณจราจรสีแดง หรือเครื่องหมายจราจรสีแดงที่มีคำว่า "หยุด" เว้นแต่ผู้ขับขี่ได้เลยเส้นให้หยุดไปแล้วให้เลยไปได้
- สัญญาณจราจรไฟแดง หรือเครื่องหมายจราจรสีแดง ที่มีคำว่า "หยุด"ให้ผู้ขับขี่รถหยุดหลังเส้นให้รถหยุด
- สัญญาณจราจรไฟเขียว หรือเครื่องหมายจราจรสีเขียวที่มีคำว่า "ไป" ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
- สัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียว ชี้ให้เลี้ยวหรือชี้ตรงไป ให้ผู้ขับขี่ขับขี่ขับรถเลี้ยวหรือตรงไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้
- สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีแดง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นให้หยุดเมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางจราจรแล้ว จึงขับรถต่อไปด้วยความระมัดระวัง
- สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีเหลืออำพัน ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง
- สัญญาณจราจรไฟสีแดงที่ทำเป็นรถกากบาท เฉียงอยู่เหนือช่องเดินรถใดห้ามผู้ขับขี่รถในช่องเดินรถนั้น
- สัญญาณจราจรไฟสีเขียวที่ทำเป็นรูปลูกศร อยู่เหนือช่องเดินรถใดให้ผู้ขับขี่รถในช่องเดินรถนั้นขับผ่านไปได้
- ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏข้างหน้าในกรณีต่อไปนี้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอระดับไหล่ของผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหลังของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้อง หยุดรถแต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ลดแขนลงข้างที่เหยียดออกไปนั้นลงและโบกมือไปข้างหน้าให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอ ยู่ทางด้านหลัง ขับผ่านไปได้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่งออกไปเสมอระดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนข้างนั้นของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่บนนั้นแล้วโบกผ่านศรีษะไปทางด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่นั้นขับผ่านไปได้้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไประดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนทั้งสองข้างของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ
- เมื่อพนักงานจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนลงตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหน้าของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่นั้นโบกไปด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่ทางด้านหน้าของพนักงานจ้าหน้าที่ขับผ่านไปได้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียดออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับขี่ขับรถมาทางด้านหน้าและด้านหลังของเจ้าหน้าที่พนักงานที่ต้องหยุดรถ
- ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้แสดงด้วยเสียงสัญญาณนกหวีดในกรณีดังต่
อไปนี้
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดยาวหนึ่งครั้ง ให้ผู้ขับขี่หยุดรถทันที่
- เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เสียงสัญญาณนกหวีดสั้นสองครั้งติดต่อกันให้ผู้ขับขี่ขับรถผ่านไปได้
การให้สัญญาณด้วยมือและแขน
- เมื่อจะลดความเร็วของรถ ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือขึ้นลงหลายครั้ง
- เมื่อจะหยุดรถ ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ ยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบน และตั้งฝ่ามือขึ้น
- เมื่อจะให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงขึ้นหน้า ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือข้าง หน้าหลายๆ ครั้ง
- เมื่อจะเลี้ยวขวาหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถไปทางขวา ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่
- เมื่อจะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถไปทางซ้าย ให้ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และงอข้อมือชูขึ้นโบกไปทางซ้ายหลายๆ ครั้ง
การใช้ไฟสัญญาณของผู้ขับขี่
- เมื่อจะหยุดรถผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟสีแดงที่ท้ายรถ
- เมื่อจะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงรถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองอำพันที่ติด อยู่หน้าและท้ายรถหรือ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
- เมื่อจะให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า ผู้ขับขี่ต้อง ให้สัญญาณไฟยกเลี้ยวสีเหลืองอำพัน หรือไฟกะพริบสีแดงหรือสีเหลือง อำพันที่ติดอยู่ท้ายรถทางด้านซ้ายของรถ
- ผู้ที่จะเลี้ยวรถ ให้รถคันอื่นแซงเพื่อขึ้นหน้า เปลี่ยนช่องทางเดินรถลดความเร็วหยุดรถ หรือจอดรถ ต้องให้สัญญาณ ด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณ ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอื่นเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร
- ผู้ขับขี่ต้องใช้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณ ก่อนที่จะเลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถลดความเร็วของรถ ลดความเร็ว หยุดรถ หรือจอดรถ เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร
การขับรถแซงและผ่านขึ้นหน้าคันอื่น
- ในทางเดินรถที่ไม่ได้แบ่งช่องทางเดินรถไว้ ผู้ขับขี่ประสงค์จะแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่น ต้องให้สัญญาณกะพริบไฟหน้าหลายๆ ครั้ง หรือให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวขวาหรือให้เสียงสัญญาณดังพอที่จะให้ผู้ขับขี่คันหน้าให้สัญญาณตอบ (ยกไฟเลี้ยวที่ติดอยู่ด้านซ้ายของรถหรือให้สัญญาณด้วยมือและแขน โดยการยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอ ระดับไหล ่และโบกมือไปข้างหน้าหลาย ๆ ครั้ง)
- การแซงต้องแซงด้านขวา
- ผู้ขับขี่จะแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นด้านซ้ายได้ กรณีต่อไปนี้
- รถที่กำลังแซงจะเลี้ยวขวา หรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา
- ทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งช่องทางเดินรถไปในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป
- ห้ามขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่น ในกรณีต่อไปนี้
- เมื่อรถกำลังขึ้นทางลาดชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง
- ภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางเข้า ทางร่วมแยก วงเวียน หรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ
- เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร
- เมื่อที่เข้าที่คับขัน หรือ เขตปลอดภัย
- เมื่อได้รับสัญญาณขอแซงขึ้นหน้าจากรถคันหลังจากผู้ขับรถที่มีความเร็วช้าหรือใช้ความเร็วต่ำกว่ารถคันอื่นที่ขับขี่
ในทิศทาง เดียวกันต้องยอมให้รถที่มีความเร็วสูงกว่า ผ่านขึ้นหน้าและผู้ขับขี่ที่ถูกขอทางต้องปฏิบัติดังนี้
- ให้สัญญาณมือและแขนโดยยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่และโบกมือไปทางข้างหน้าหลายครั้ง หรือให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอำพันที่ติดทางด้านซ้ายของรถ
- ลดความเร็วของรถลง
- ขับรถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถเพื่อให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้าได้โดยปลอดภัย
การหยุดและการจอดรถ
- การหยุดรถหรือการจอดรถในทางเดินรถต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณตามที่ กฎหมายกำหนด ก่อนที่จะหยุดรถหรือจอดรถในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร และจะหยุดหรือจอด ได้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย และไม่เป็นการกีดขวางจราจร
- ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอดให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดกับขอบทางหรือ ไหล่ทางในระยะห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร
- การจอดรถในทางเดินรถที่ผู้ขับขี่ไม่อาจอยู่ควบคุมรถนั้นผู้ขับขี่ต้องหยุดเครื่องยนต์และห้ามล้อไว้
- การจอดรถในทางเดินรถที่เป็นทางลาดหรือชัน ผู้ขับขี่ต้องหันล้อหน้าของรถเข้าขอบทาง
- ในกรณีเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ของรถขับข้อจนต้องจอดรถในทางเดินรถผู้ขับขี่ต้องนำรถให้พ้นทาง เดินรถโดยเร็วที่สุด
ข้อกำหนดเกี่ยวกับความเร็วของรถ
- รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม ให้ขับในเขตกรุงเทพฯ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเมืองเทศบาล ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รถยนต์อื่นนอกจากข้อ 3 ขณะลากจูงรถพวง รถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนัก รถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม หรือรถยนต์สามล้อบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัมให้ขับในเขตกรุงเทพฯ เมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไหล่ทางในระยะห่างไม่เกิน 25 เซนติเมตร
- รถยนต์อื่นนอกจากข้อ 1.และข้อ 2.(รถเก๋ง) หรือรถจักรยานยนต์ให้ขับในเขตกรุงเทพ เมืองพัทยา หรือเทศบาล
ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือนอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตรายหรือเขตให้กลับรถช้าๆ ให้ลดความเร็วและ เพิ่มความระมัดระวัง
- ในกรณีที่มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ขับไม่เกินที่กำหนด ไว้ในเครื่องหมาย
- ผู้ขับขี่จะต้องเลี้ยวให้รถคันอื่นแซงหรือผ่านขึ้นหน้า จอดรถหยุดรถ กลับรถหรือเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้ามเส้นให้หยุดรถ วงเวียน หรือขับรถบนเนินเขา บนสะพาน ที่เชิงสะพาน ที่แคบ ทางโค้งทางลาด ที่คับขัน ที่มีหมอก ฝน ฝุ่น ควัน จนทำให้ไม่อาจมองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร ผู้ขับขี่ต้องลด ความเร็วในลักษณะที่จะให้เกิดความปลอดภัย
การขับผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน
- เมื่อผู้ขับขี่รถมาถึงทางร่วมทางแยกและถ้าไม่มีเครื่องหมายจราจรหรือสัญญาณจราจรกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังนี้
- ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่มีอยู่ในทางร่วมทางแยกผ่านไปก่อน
- ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้าน ซ้ายมือขอตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเอกมีสิทธิ์ขับผ่านไปก่อน
- ถ้าสัญญาณจราจรไฟเขียว ปรากฏข้างหน้า แต่ในทางร่มทางแยกมีรถอื่นหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถ ผ่านพ้นทางร่วมทางแยกไปได้ ผู้ขับขี่จะต้องหยุดรถ ที่หลังเส้นหยุดจนกว่าจะสามารถเคลื่อนรถผ่านพ้นทาง ร่วมทางแยกไปได้
- ผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียนซึ่งมิได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรหรือสัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่น ต้องให้สิทธิแก้ผู้ขับรถ อยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน
- ผู้ขับขี่ขัยรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในบริเวณอาคารเมื่อ จะขับรถผ่านหรือเลี้ยวสู่ทางเดินรถที่ตัดผ่านต้องหยุดรถเพื่อให้รถที่กำลังผ่านทางหรือแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่าน ไปก่อนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้